เชื่อมโยงเลขสิบสามหลักขึ้นทะเบียนครู/ต่ออายุใบวิชาชีพ
ดร.สมศักดิ์ ดลประสิทธิ์ รองเลขาธิการสภาการศึกษา ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการคุรุสภา กล่าวถึงการพัฒนาระบบทำงานและฐานข้อมูลของสำนักงานเลขาธิการคุรุสภาว่า ขณะนี้ถึงเวลาที่สำนักงานเลขาธิการคุรุสภาจะต้องปรับระบบการทำงานและฐานข้อมูลครูให้มีความทันสมัยรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นไปตามกระแสของการเปลี่ยนแปลงที่ทุกหน่วยงานจะต้องปรับตัวให้เป็นระบบดิจิทัล จะใช้ระบบอะนาลอกต่อไปไม่ได้แล้ว โดยในส่วนของสำนักงานคุรุสภาจะเห็นได้อย่างชัดเจน คือ การขึ้นทะเบียนรับในอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษา หรือการติดต่อข้อมูลจะต้องเดินทางมาที่ส่วนกลางซึ่งอาจจะไม่ทันใจและเป็นไปด้วยความล่าช้าไม่ทันกาล ฉะนั้นคุรุสภาจะต้องปรับตัวเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่สมาชิกโดยจะต้องนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วย
ดร.สมศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า วันนี้หน่วยงานต่าง ๆ มีการปรับตัวไปมากแล้วไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานรัฐหรือเอกชน โดยเฉพาะธนาคารต่าง ๆ ที่มีการขยายสาขาและใช้ระบบ e-Banking ใช้แอพพลิเคชันในมือถือ ให้บริการประชาชนเข้าถึงและสะดวกขึ้น เป็นการแสดงให้เห็นว่าธนาคารมีการปรับตัวเพื่อให้บริการประชาชนได้อย่างมาก เพราะฉะนั้นคุรุสภาก็ต้องมีการปรับตัวนำระบบไอซีทีเข้ามาให้บริการ เพื่อที่สมาชิกไม่จำเป็นต้องเดินทางมาติดต่อที่คุรุสภาก็ได้ โดยวิธีการคือ คุรุสภาจะเริ่มปรับระบบฐานข้อมูลให้สามารถเชื่อมโยงกับระบบอื่น ๆ เช่น ข้อมูลครูที่สามารถเชื่อมโยงกับระบบทะเบียนราษฎร์ เลขประจำตัวประชาชน เพื่อให้การขอขึ้นทะเบียนครูและบุคลากรทางการศึกษา การขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ หรือ การต่ออายุ สามารถใช้ระบบไอซีทีหรือแอพพลิเคชันได้ แต่ทั้งนี้คุรุสภาเองก็ต้องมีระบบการตรวจสอบข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำด้วย
ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการคุรุสภา กล่าวด้วยว่า สำหรับความคืบหน้าการจัดตั้งสำนักคุรุพัฒนานั้น ถือเป็นการดำเนินการเพื่อยกระดับคุณภาพครูตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้ต้องมีระบบการคัดกรองคนที่จะมาประกอบวิชาชีพครู นอกเหนือจากการพัฒนาครูในระบบหรือครูประจำการอย่างต่อเนื่อง โดยสำนักคุรุพัฒนาจะมาทำหน้าที่ในการคิดระบบการคัดกรอง การพัฒนา รวมถึงส่งเสริมเพื่อให้ครูได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตรงตามภารกิจ ขณะเดียวกันในเรื่องการการพัฒนา เมื่อครูได้พัฒนาตัวเองในเรื่องใดบ้างนั้นก็สามารถส่งข้อมูลผ่านระบบดิจิทัลได้ โดยไม่ต้องเดินทางมาส่งเอกสารที่ส่วนกลาง