การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนสุขศึกษา เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการคิด แก้ปัญหาอย่างมีวิจารณญาณ  สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6

KRUPUNMAI SHARE

ชื่อเรื่อง           การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนสุขศึกษา เพื่อเสริมสร้างความสามารถ
ในการคิดแก้ปัญหาอย่างมีวิจารณญาณ  สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6

ชื่อผู้วิจัย         นางณพิชญา เลขยันต์ ตำแหน่ง  ครู  วิทยฐานะ  ครูชำนาญการพิเศษ
โรงเรียนเทศบาล ๑ (ซอย ๖)  สังกัดกองการศึกษาเทศบาลตำบลโคกตูม อำเภอเมือง
จังหวัดลพบุรี

ปีที่วิจัย           ปีการศึกษา  2563

 

                                                 บทคัดย่อ

 

การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา ( Research & Development ) มีวัตถุประสงค์  ดังนี้  1) เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนสุขศึกษา เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการคิดแก้ปัญหาอย่างมีวิจารณญาณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6  2) เพื่อรูปแบบการเรียนการสอนสุขศึกษา เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการคิดแก้ปัญหาอย่างมีวิจารณญาณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6  3) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการเรียนการสอนสุขศึกษา เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการคิดแก้ปัญหาอย่างมีวิจารณญาณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6  และ 4)  เพื่อประเมินผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอนสุขศึกษา เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการคิดแก้ปัญหาอย่างมีวิจารณญาณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6  แหล่งข้อมูล/กลุ่มเป้าหมายตามวัตถุประสงค์การวิจัยขั้นตอนที่ 1 ได้แก่ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน  พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา สาระที่  4 การสร้างเสริมสุขภาพ สมรรถภาพและการป้องกันโรค และสาระที่ 5  ความปลอดภัยในชีวิต  ทฤษฎีคอนสตรัคติวิส์ต (Constructivist ) ทฤษฎีกลุ่มที่เน้นการเรียนรู้และการเชื่อมโยงความคิด       ( Apperception หรือ Herbartianism ) และทฤษฎีแห่งการการสร้างความรู้ (Constructivism) และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการคิดแก้ปัญหาอย่างมีวิจารณญาณ  ความคิดเห็นของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา  2562 ภาคเรียนที่ 2 จำนวน 30  คน ประเด็นการสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการครูหัวหน้างานวิชาการโรงเรียนกับครูหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา และประเด็นการสนทนาอย่างไม่เป็นทางการของครูผู้สอนสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษาแหล่งข้อมูล/กลุ่มเป้าหมายตามวัตถุประสงค์การวิจัยขั้นตอนที่ 2 ได้แก่ ข้อมูลพื้นฐานที่ได้จากขั้นตอนที่ 1 ผู้เชี่ยวชาญ  จำนวน 5 คน  ตรวจสอบความเหมาะสม/สอดคล้อง และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 จำนวน 30 คน  ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง แหล่งข้อมูล/กลุ่มตัวอย่างตามวัตถุประสงค์การวิจัยขั้นตอนที่ 3 และ  4  ได้แก่  นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา  2563  โรงเรียนเทศบาล ๑ (ซอย ๖) สังกัดกองการศึกษาเทศบาลตำบลโคกตูม จำนวน 31 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบเจาะจง ((Purposive selection))  เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) คู่มือการใช้รูปแบบการเรียนการสอน  2)  แผนการจัดการเรียนรู้  3)  แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหาอย่างมีวิจารณญาณ  4)  แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสุขศึกษา  5) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้รูปแบบการเรียนการสอน การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปและการคิดวิเคราะห์เนื้อหา ( content  analysis )  สถิติที่ใช้ได้แก่  การหาค่าเฉลี่ย  ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน  และค่าที ( t-test  dependent )

ผลการวิจัย

 

  1. ข้อมูลพื้นฐานสำหรับการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนสุขศึกษา เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการคิดแก้ปัญหาอย่างมีวิจารณญาณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่า จุดมุ่งหมายของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช  2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา มีเป้าหมายการของการศึกษาด้านสุขภาพเพื่อการดำรงสุขภาพ การสร้างเสริมสุขภาพและการพัฒนาคุณภาพชีวิต ซึ่งสาระ  ที่ 4 การสร้างเสริมสุขภาพ สมรรถภาพและการป้องกันโรค และสาระที่ 5 ความปลอดภัยในชีวิต เป็นสาระที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตประจำวันและมีความสำคัญกับการดูแลตนเองให้มีความสุขและปลอดภัย และจากความคิดเห็นของนักเรียนก็มีความต้องการให้ครูจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการแลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อนๆ ในลักษณะกระบวนการกลุ่ม  ส่วนในด้านการสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการและการสนทนาอย่างไม่เป็นทางการ พบว่า มีความสอดคล้องกันคือมีความคิดเห็นว่าควรมีการการจัดการเรียนการสอนให้เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ครูต้องปรับเปลี่ยนการสอนใหม่และกิจกรรมมีความน่าสนใจให้นักเรียนมีส่วนร่วมและควรเสริมสร้างทักษะกระบวนการคิด
  2.   ผลการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนสุขศึกษา เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการคิดแก้ปัญหาอย่างมีวิจารณญาณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6  พบว่ารูปแบบการเรียนการสอน    ( EPLEA  Model ) ที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วยกระบวนการเรียนรู้  5 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 กระตุ้นเตรียมความพร้อม ( Encouragement : E )  ขั้นตอนที่ 2 การนำเสนอเนื้อหา (Presentation: P )  ขั้นตอนที่  3  การเรียนรู้กระบวนการคิด (Learning Thinking :L )  ขั้นตอนที่  4 การลงข้อสรุป (Elaboration: E )  และขั้นตอนที่ 5 การประยุกต์ใช้กระบวนการคิด (Applying Thinking Process: A )  มีความเหมาะสม/สอดคล้องตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ  โดยมีค่าเฉลี่ย เท่ากับ  4.85  และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.17 และจากการหาประสิทธิภาพโดยนำไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2  ปีการศึกษา  2562 ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จำนวน  30 คน พบว่า  มีประสิทธิภาพ ( E1/E2 ) เท่ากับ 82.22/83.87
  3. ผลการทดลองใช้รูปแบบการเรียนการสอนสุขศึกษา เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการคิดแก้ปัญหาอย่างมีวิจารณญาณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่า จากการนำรูปแบบการเรียนการสอน ( EPLEA Model ) ไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่  6 ภาคเรียนที่ 2  ปีการศึกษา  2563 หลังการเรียนการสอนนักเรียนมีความสามารถในการคิดแก้ปัญหาอย่างมีวิจารณญาณสูงกว่าก่อนเรียน โดยมีคะแนนเฉลี่ย  เท่ากับ   20.50   และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน  เท่ากับ 1.25  และมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าก่อนเรียน  โดยมีคะแนนเฉลี่ย  เท่ากับ  16.88   และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 1.04  เป็นไปตามสมมติฐานการวิจัยข้อที่ 3
  4. ผลการประเมินการใช้รูปแบบการเรียนการสอนสุขศึกษา เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการคิดแก้ปัญหาอย่างมีวิจารณญาณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6   พบว่า  หลังการเรียนการสอนโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน ( EPLEA  Model ) นักเรียนมีความสามารถในการคิดแก้ปัญหาอย่างมีวิจารณญาณและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ  .05  โดยมีการทดสอบที ( t-test  dependent ) เท่ากับ 23.854  และ  30.753  ตามลำดับ เป็นไปตามสมมติฐานการวิจัยข้อที่ 4

 

  1.   ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนหลังการใช้รูปแบบการเรียนการสอนสุขศึกษา เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการคิดแก้ปัญหาอย่างมีวิจารณญาณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6   พบว่า  นักเรียนมีความพึงพอใจการเรียนการสอนโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน ( EPLEA  Model ) ในภาพรวมอยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด  โดยมีคะแนนเฉลี่ย  เท่ากับ  4.88  และค่าสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.15 เป็นไปตามสมมติฐานการวิจัยข้อที่ 5

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Rate this post

KRUPUNMAI SHARE

Check Also

บทความทางวิชาการ หน้าที่ของชายไทยกับการเกณฑ์ทหาร

KRUPUNMAI SHARE ...

@ เว็ปไซต์ เพื่อข้อมูลข่าวสารทางด้านการศึกษา www.krupunmai.com @ ครูพันธุ์ใหม่ดอทคอม @